แมงกะพรุน คืออะไร?
แมงกะพรุนเป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วกว่า 505 หรือ 600 ล้านปี โดยถือกำเนิดก่อนไดโนเสาร์ถึง 230 ล้านปี หรือก่อนมนุษย์ราว 500,000 ปี โดยถือได้ว่าเป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดมานานแล้วจำพวกหนึ่งที่มีวิวัฒนาการสูงสุด มีวงจรชีวิตที่ขยายพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ
พิษ
แมงกะพรุนหลายชนิดมีพิษ โดยบริเวณหนวดและแขนงที่ยื่นรอบปาก เรียกว่า "มีนีมาโตซีส" หรือเข็มพิษ ใช้สำหรับฆ่าเหยื่อ หรือทำให้เหยื่อสลบก่อนจับกินเป็นอาหาร ซึ่งโดยมากเป็น ปลา และใช้สำหรับป้องกันตัว ปริมาณของนีมาโตซีสอาจมีจำนวนถึง 80,000 เซลล์ ใน 1 ตารางเซนติเมตรเท่านั้น ภายในนีมาโตซีสนี้เองมีน้ำพิษที่เป็นอันตรายทำให้เกิดอาการคัน เป็นผื่น บวมแดง เป็นรอยไหม้ ปวดแสบปวดร้อน และเป็นแผลเรื้อรังได้ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ขึ้นอยู่กับแมงกะพรุนแต่ละชนิด ในชนิด Chironex fleckeri ซึ่งเป็นแมงกะพรุนกล่องชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีเซลล์เข็มพิษมากถึง 4-5,000,000,000 ล้านเซลล์ ในหนวดทั้งหมด 60 เส้น ซึ่งมีผลทางระบบโลหิต โดยไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้โลหิตเป็นพิษ และเสียชีวิตลงได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แมงกะพรุนมีพิษทุกชนิดหรือไม่
แมงกะพรุน ปะการัง ดอกไม้ทะเล ไฮดราและไฮดรอยด์ ล้วนเป็นสัตว์ในไฟลัม Cnidaria ซึ่งเอกลักษณ์ของสัตว์ในไฟลัมนี้คือมีเข็มพิษ ดังนั้น แมงกะพรุนทุกชนิดจึงมีพิษ เพียงแต่ความรุนแรงของพิษจะต่างกันไปในแต่ละชนิด จำนวนพิษที่ได้รับ รวมถึงระดับความแพ้ของคน โดยมีตั้งแต่แค่แสบๆ คันๆ ไปจนถึงต้องหามส่งโรงพยาบาล
ระดับความร้ายแรงของพิษในแมงกะพรุนแต่ละชนิดขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น สารประกอบในน้ำพิษ ลักษณะและกลไกของเข็มพิษ ไปจนถึงความยาวของเข็มพิษ ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าแมงกะพรุนที่มีเข็มพิษยาวจะสร้างความเจ็บปวดได้มากกว่าพวกที่มีเข็มพิษสั้น ทั้งนี้ ความร้ายแรงของพิษยังขึ้นอยู่กับปริมาณพิษที่ได้รับ และระดับความแพ้ของแต่ละคนด้วย
แมงกะพรุนหลายชนิดมีพิษ โดยบริเวณหนวดและแขนงที่ยื่นรอบปาก เรียกว่า "มีนีมาโตซีส" หรือเข็มพิษ ใช้สำหรับฆ่าเหยื่อ หรือทำให้เหยื่อสลบก่อนจับกินเป็นอาหาร ซึ่งโดยมากเป็น ปลา และใช้สำหรับป้องกันตัว ปริมาณของนีมาโตซีสอาจมีจำนวนถึง 80,000 เซลล์ ใน 1 ตารางเซนติเมตรเท่านั้น ภายในนีมาโตซีสนี้เองมีน้ำพิษที่เป็นอันตรายทำให้เกิดอาการคัน เป็นผื่น บวมแดง เป็นรอยไหม้ ปวดแสบปวดร้อน และเป็นแผลเรื้อรังได้ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ขึ้นอยู่กับแมงกะพรุนแต่ละชนิด ในชนิด Chironex fleckeri ซึ่งเป็นแมงกะพรุนกล่องชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีเซลล์เข็มพิษมากถึง 4-5,000,000,000 ล้านเซลล์ ในหนวดทั้งหมด 60 เส้น ซึ่งมีผลทางระบบโลหิต โดยไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้โลหิตเป็นพิษ และเสียชีวิตลงได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แมงกะพรุนมีพิษทุกชนิดหรือไม่
แมงกะพรุน ปะการัง ดอกไม้ทะเล ไฮดราและไฮดรอยด์ ล้วนเป็นสัตว์ในไฟลัม Cnidaria ซึ่งเอกลักษณ์ของสัตว์ในไฟลัมนี้คือมีเข็มพิษ ดังนั้น แมงกะพรุนทุกชนิดจึงมีพิษ เพียงแต่ความรุนแรงของพิษจะต่างกันไปในแต่ละชนิด จำนวนพิษที่ได้รับ รวมถึงระดับความแพ้ของคน โดยมีตั้งแต่แค่แสบๆ คันๆ ไปจนถึงต้องหามส่งโรงพยาบาล
ระดับความร้ายแรงของพิษในแมงกะพรุนแต่ละชนิดขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น สารประกอบในน้ำพิษ ลักษณะและกลไกของเข็มพิษ ไปจนถึงความยาวของเข็มพิษ ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าแมงกะพรุนที่มีเข็มพิษยาวจะสร้างความเจ็บปวดได้มากกว่าพวกที่มีเข็มพิษสั้น ทั้งนี้ ความร้ายแรงของพิษยังขึ้นอยู่กับปริมาณพิษที่ได้รับ และระดับความแพ้ของแต่ละคนด้วย
แมงกะพรุนที่พิษอ่อน
อาการมีตั้งแต่แทบไม่รู้สึกอะไร ไปจนถึงแสบๆ คันๆ
![]() แมงกะพรุนหอม (Mastigias sp.) | แมงกะพรุนลอดช่อง (Lobonema smithi) |
![]() แมงกะพรุนหนัง (Rhopilema sp.) | ![]() แมงกะพรุนพระจันทร์ (Aurelia aurita) |
![]() แมงกะพรุนลูกปืนใหญ่ (Stomolophus meleagris) |
แมงกะพรุนที่พิษปานกลาง
ทำให้ปวดแสบปวดร้อนบริเวณที่สัมผัส เป็นรอยแดง บวม เป็นผื่น ส่วนคนที่แพ้อาจมีความรุนแรงมากกว่านั้นได้
![]() แมงกะพรุนไฟ (Chrysaora spp.) | ![]() แมงกะพรุนไฟสีชมพู (Pelagia spp.) |
แมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรง
หากโดนพิษแมงกะพรุนกลุ่มนี้ ควรนำส่งโรงพยาบาลทันที เนื่องจากอาจมีอันตรายถึงชีวิต
1. แมงกะพรุนกล่อง (Box Jellyfish)
![]() Carybdea sivickisi | ![]() Chiropsoides buitendiijki |
![]() Tripedalia cystophora |
2. แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Portuguese Man’o War: Physalia spp.)**
ถึงแม้ชื่อของมันจะมีคำว่าแมงกะพรุน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ไซโฟโนฟอร์’
![]() Portuguese man-o-war (Physalia spp.) | ![]() Physalia physalis |
เข็มพิษของแมงกะพรุน
เข็มพิษแมงกะพรุนทำงานด้วยระบบสัมผัส เมื่อได้รับการสัมผัส เข็มพิษจะยิงทันที แมงกะพรุนบางชนิดยิงเข็มพิษที่ได้รวดเร็วมากโดยใช้เวลาน้อยกว่า 0.01 วินาที คิดเป็นความเร่งถึง 40,000g – นี่คือหนึ่งในการเคลื่อนไหวทางชีวภาพที่เร็วที่สุด และแม้ว่าแมงกะพรุนจะตายไปแล้ว แต่เข็มพิษก็ยังยิงได้ แม้กระทั่งหนวดที่เหลืออยู่เส้นเดียว ก็ยิงเข็มพิษได้เช่นกัน
![Image by Byron Inouye [https://manoa.hawaii.edu/exploringourfluidearth/biological/invertebrates/phylum-cnidaria/activity-nematocysts] Diagram of a cnidocyte ejecting a nematocyst](https://www.antijellyfish.com/wp-content/uploads/2019/06/Fig3.26-CnidocyteEjectingNematocyst_0.png)
Diagram of a cnidocyte ejecting a nematocyst
ที่ปลายเซลล์เข็มพิษจะมีขนเล็กๆ ทำหน้าที่คล้ายยามเฝ้าประตู เมื่อใดก็ตามที่ขนนี้ได้รับการสัมผัส แม้จะเพียงน้อยนิด ก็จะกระตุ้นให้ท่อนำพิษที่หน้าตาเหมือนฉมวกพุ่งออกมาทิ่มแทงเหยื่อ พิษที่ถูกเก็บอยู่ทั้งในฉมวกและในแคปซูลก็จะถูกปล่อยออกมา โดยฉมวกนี้ยังมีหนาม
รอบๆ เพื่อไว้ยึดยึดกับผิวเหยื่อไม่ให้หลุดด้วย!
พื้นที่เพียงหนึ่งตารางเซนติเมตรบนหนวดแมงกะพรุน อาจมีเซลล์เข็มพิษกระจายอยู่ตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักแสนต่อม ตามแต่ชนิดของแมงกะพรุน ดังนั้น หนวดแต่ละเส้นอาจมีเซลล์เข็มพิษอยู่หลักแสนถึงหลักล้านเซลล์
แม้ว่าที่อยู่ของเซลล์เข็มพิษหลักๆ จะอยู่ที่หนวด แต่ในแมงกะพรุนบางชนิด เข็มพิษยังซ่อนอยู่ในแขนรอบปาก รูปาก และมีไม่กี่ชนิดที่มีเข็มพิษที่บริเวณร่มด้วย โดยเซลล์เข็มพิษเหล่านี้มีรูปร่างต่างๆ กัน และต่างออกไปตามสายพันธุ์ – หากเราอยากระบุชนิดแมงกะพรุนผู้ต้องหาที่ทำให้เราเจ็บแสบ วิธีการก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้สก็อตเทปแปะบริเวณผิวหนังที่ถูกแมงกะพรุนสัมผัส (ที่แห้งแล้ว) และลอกออก เราก็จะได้ตัวอย่างเข็มพิษเอาไปตรวจได้
ส่วนเหตุผลที่แมงกะพรุนไม่ยิงเข็มพิษใส่ตัวเอง เพื่อนร่วมสายพันธุ์เดียวกัน หรือวัสดุที่ไม่มีชีวิต ก็เพราะมันมีระบบตรวจจับสารเคมี (Chemoreceptor) เป็นตัวตัดสินว่าจะต้องยิงเข็มพิษหรือไม่นั่นเอง
วิธีปฐมพยาบาลเมื่อโดนพิษแมงกะพรุน
สิ่งสำคัญคือ หนวดแมงกะพรุนที่เหลือบนผิวหนังยังยิงเข็มพิษได้ ดังนั้น ผู้ที่ช่วยจะต้องระวังไม่ให้ตัวเองกลายเป็นผู้บาดเจ็บไปด้วย โดยมีขั้นตอนการปฐมพยาบาลดังนี้
1. นำหนวดแมงกะพรุนที่หลงเหลือที่ผิวหนังออกให้หมด
- ห้ามใช้มือจับโดยตรง (อาจใช้คีม, บัตรพลาสติกแข็งเขี่ยออก หรือใช้กระดาษทิชชูซับ)
- ทิ้งในที่ปลอดภัยและมิดชิด ที่จะไม่มีใครไปสัมผัสมันอีก
- ห้ามขัดถูหรือขยี้บริเวณแผล
2. ราดด้วยน้ำส้มสายชู นานอย่างน้อย 30 วินาที (หรือถ้าไม่มี ให้ใช้น้ำทะเลแทน หรือจะแช่ในน้ำทะเลก็ได้)
- ห้าม! ราดด้วยน้ำจืด, ปัสสาวะ, แอลกอฮอล์, แอมโมเนีย, น้ำอัดลม, เบกกิ้งโซดา ฯลฯ (เนื่องจากสารเหล่านั้นจะกระตุ้นให้เข็มพิษที่หลงเหลือทำงาน)
- สำหรับแผลบริเวณดวงตา ให้ใช้ผ้าชุบน้ำส้มสายชูซับเบาๆ รอบๆ ดวงตา โดยระมัดระวังการสัมผัสกับลูกตาโดยตรง
- ห้ามขัดถูหรือขยี้บริเวณแผล
หมายเหตุ : น้ำส้มสายชูไม่ได้ลดอาการปวด แต่จะลดการทำงานของเข็มพิษที่หลงเหลือบนผิว
หมายเหตุ2 : ในกรณีของแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Physalia sp.) ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงว่าควรใช้น้ำส้มสายชูหรือไม่ เนื่องจากงานวิจัยหลายชิ้นมีความขัดแย้งกัน แต่งานวิจัยล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ในปี 2017 ระบุว่า น้ำส้มสายชูช่วยยับยั้งการทำงานของเข็มพิษที่หลงเหลือบนผิวได้
3. หากผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ช่วยหายใจ หากไม่มีชีพจร ให้ปั๊มหัวใจ
- เรียกรถพยาบาล โทร. 1669
4. ให้ผู้บาดเจ็บอยู่นิ่งๆ ให้มากที่สุดเพื่อลดการทำงานของเข็มพิษที่ยังหลงเหลือ
5. หากมีครีม Safe Sea ให้พ่นหรือทาลงที่แผลได้ (ห้ามใช้มือเปล่าทา และระวังอย่าให้เป็นการถู)
แม้ว่า Safe Sea จะไม่ได้ช่วยแก้ไขหลังจากถูกพิษแล้ว แต่ด้วยคุณสมบัติของครีมที่ช่วยหยุดยั้งการทำงานของเข็มพิษโดยตรง ทำให้สามารถป้องกันผู้ป่วยจากเข็มพิษที่หลงเหลือบนผิวหนังได้
6. ในกรณีที่อาการรุนแรง เช่น ปวดมาก กระสับกระส่าย เหงื่อออกมาก ใจสั่น หายใจขัด หน้าซีด ให้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้อยู่ภายใต้การดูแลทางการแพทย์